การซ่อมแซมงานสีที่เสียหายเล็กน้อย
ชั้นสีเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบป้องกันสนิมของรถ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบอยู่เสมอ ลักษณะความเสียหายของงานสีที่พบบ่อยคือรอยก้อนหินกะเทาะ รอยขีดข่วน และรอยบนขอบบังโคลน ประตูและกันชน
เมื่อซ่อมแซมความเสียหายของสี รถจะต้องสะอาด แห้ง และมีอุณหภูมิเกินกว่า 15 °C
การซ่อมแซมงานสีที่เสียหายเล็กน้อย
ควรซ่อมแซมงานสีที่เสียหายในทันทีเพื่อป้องกันการก่อตัวของสนิม
เมื่อทำการซ่อมสี จะต้องทำความสะอาดและปล่อยให้แห้งที่อุณหภูมิอย่างน้อย 15°Cบันทึก
วัสดุที่อาจจำเป็นต้องใช้
- สีรองพื้น[1] - สีรองพื้นแบบกาวชนิดพิเศษในรูปแบบของกระป๋องสเปรย์สำหรับชิ้นส่วนอย่างเช่น กันชนแบบเคลือบพลาสติก เป็นต้น
- สีเคลือบหลักและสีเคลือบใส - มีให้บริการในรูปแบบกระป๋องสเปรย์ หรือปากกาแต้มสี/แท่งสีแต้ม[2]
- เทปปิดกันเปื้อน
- กระดาษทรายแบบละเอียด[1]
ถ้าความเสียหายไม่ลึกจนถึงเนื้อโลหะ หลังจากที่ทำความสะอาดพื้นผิวแล้ว จะสามารถทาสีแต้มลงไปโดยตรงได้
เมื่อมีการซ่อมแซมสี พื้นผิวของรถจะต้องสะอาดและแห้ง พื้นผิวควรมีอุณหภูมิอย่างน้อย 15 °C (60 °F)บันทึก

ติดเทปปิดกันเปื้อนบนพื้นผิวที่เสียหาย จากนั้นดึงเทปออกเพื่อให้สะเก็ดสีที่ติดค้างอยู่หลุดออกมา
ถ้าความเสียหายลึกจนถึงเนื้อเหล็ก ให้ใช้สีรองพื้น ในกรณีที่มีความเสียหายของผิวหน้าพาสติก ควรใช้สีกาวรองพื้นเพื่อให้ได้ผลดีขึ้น - ให้ฉีดสเปรย์ลงบนฝาของกระป๋องสเปรย์แล้วใช้แปรงปัดเบาๆ
- ถ้าจำเป็นให้ทำการขัดเบาๆ ด้วยวัสดุขัดแบบละเอียด ก่อนที่จะทำสี (เช่น ถ้ามีขอบที่ไม่เรียบ) พื้นผิวจะต้องได้รับการทำความสะอาดให้ทั่วและทิ้งไว้ให้แห้ง
- คนสีรองพื้นให้เข้ากันดี และแต้มสีรองพื้นให้ทั่วบริเวณโดยใช้พู่กันเนื้อละเอียด, ก้านไม้ขีด หรือวัสดุที่คล้ายกัน เมื่อสีรองพื้นแห้งแล้ว ให้ทาซ้ำโดยใช้สีเคลือบหลักและสีเคลือบใส
สำหรับรอยขีดข่วน ให้ใช้ขั้นตอนเดียวกันกับที่อธิบายไว้ข้างบน แต่ให้ใช้เทปปิดรอบพื้นผิวที่เสียหาย เพื่อป้องกันงานสีที่ไม่เสียหาย
ปากกาแต้มสีและสีพ่นมีให้บริการที่ตัวแทนจำหน่ายของวอลโว่
ถ้าไม่มีเศษหินติดอยู่และชั้นสีที่ไม่ได้รับความเสียหาย ให้ทาสารเคลือบผิว (basecoat) และสารเคลือบรองพื้น (clearcoat) ทันที่ที่ทำความสะอาดพื้นผิวแล้วบันทึก